เทศน์เช้า

นิพพานอัดกระป๋อง

๑๒ ธ.ค. ๒๕๔๑

 

นิพพานอัดกระป๋อง
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

เทศน์เช้า วันที่ ๑๒ ธันวาคม ๒๕๔๑
ณ วัดสันติธรรมาราม ต.คลองตาคต อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

เห็นวัตถุไง เพราะตื่นในวัตถุ ตื่นในรูปแบบ พอตื่นในรูปแบบ คำว่าธรรมะจัดสรรๆ แล้วทำไมถึงว่าคนเข้าไปแล้วถึงว่าคนมันมีมาก แล้วมันมีความเป็นระเบียบเรียบร้อย คนก็เห็นสวยเห็นงามในวัดเขา คนเป็นแสนด้วยนะ แต่งตัวสวยงาม มีความเป็นระเบียบเรียบร้อย นั้นยกจากต่ำขึ้นมาสูงได้

แต่เวลาพระ เห็นไหม เวลาพระบวชขึ้นมาเป็นพระมันสมมุติ เป็นศีล ๒๒๗ เป็นพระอยู่แล้ว พร้อมกับการเป็นพระ แล้วพระพุทธเจ้าบัญญัติขึ้นมา ธุดงควัตร ศีล ๒๒๗ นี่พื้นฐานแล้ว แต่ยังให้มีธุดงควัตร ยังให้มีการอบรมศีลภาวนา ฉันข้าวก็ฉันพอแต่ให้มีหล่อเลี้ยงเหมือนเพลารถเท่านั้นเอง ต้องให้มันหนักขึ้นไป แต่นี่ดึงพระลงมาไง

โยมเห็นสภาพ เห็นการจัดตั้ง โยมต้องตื่นเต้นแน่นอน แต่พระเห็นการจัดตั้ง ดึงให้พระต่ำลง เพราะว่าศีลในศีลไง พระพุทธเจ้าสอนศีลในศีล ศีลคือว่ามีศีลอยู่แล้วเป็นปกติ แต่ธุดงควัตร หรือว่าวัตรปฏิบัติต่างๆ ถ้าเป็นวัตรที่เป็นอุปัชฌายวัตร อะไรนี่ เป็นอาบัติทุกกฎ ปรับอาบัติเลย แต่ธุดงควัตรนี้ ใครไม่ทำก็ไม่ปรับอาบัติ แต่ให้ทำให้สูงขึ้น

ทีนี้เราพอใจในแค่รูปแบบไง พอใจในแค่วัตถุนิยม ฉะนั้น พระถึงได้เสียไง เพราะว่าในเมื่อมีการคลุกคลี มีการสะสม แล้วมันจะสูงเข้าไปได้อย่างไร? เพราะในการอุปสมบทเป็นพระภิกษุสงฆ์ เป็นสมมุติสงฆ์ ความเป็นพระมันเป็นด้วยศีลอยู่แล้ว ต้องให้มันละเอียด ให้มันสูงขึ้นไป แต่ดึงมาเกาะเกี่ยวกับญาติโยม เห็นไหม เกาะเกี่ยวกับญาติโยมด้วยรูปแบบ เป็นแสนนั่งอยู่ แล้วพระเรียบร้อยหมด

นี่ถ้าโยมถูกต้องอยู่ ดึงให้โยมขึ้นมา แต่ดึงให้พระต่ำลงมา เพราะต้องมาอยู่ในรูปแบบนั้น นี่เป็นวัตถุไง ถึงบอกว่ามันถึงผิดตรงนั้น แล้วถ้ามีอย่างนี้แล้ว มันมีแต่เป็นอย่างนี้มากขึ้นไป จะให้สูงขึ้นไม่เชื่อ เห็นไหม อายตนะนิพพาน ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ เป็นนิพพานหรือ? คนติดคุกนะ คุกนั้นหรือเป็นคน คุกนั้นเป็นคุก คนนั้นเป็นคน

แล้วมนุษย์นี่เหมือนกัน อายตนะเปรียบเหมือนคุก ตา หู จมูก ลิ้น กาย เปรียบเหมือนคุกไหม? เปรียบเหมือนคุก แล้วใจล่ะ? ใจเป็นใจ แต่ใจสัมผัส ใจมีขันธ์ ๕ อายตนะนิพพานเป็นไปไม่ได้ นกในกรงทองไง อยู่ในกรงทองนะ กรงถึงเป็นทอง นกก็ทุกข์ นกคือตัวใจใช่ไหม? กรงทองคือกรงทอง กรงทองเหมือนอายตนะไง อายตนะภายนอก-ภายใน ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ นี่อายตนะนิพพาน มันไม่ใช่

สภาวธรรม เห็นไหม สภาวธรรมคืออะไร? คือสภาวธรรม พุทธะภาวะคืออะไร? สภาวธรรมไง ในอภิธรรมบอกว่าขันธ์ ๕ นี้ไม่มีตัวตน ขันธ์ ๕ นี้เป็นสภาวะเฉยๆ ขันธ์ ๕ นี้เป็นสภาวะ อายตนะนี้เป็นสภาวะ ถ้ากระทบถึงจะเกิดขึ้น เป็นสภาวะไง เป็นสภาวะคือว่าเป็นนามธรรม เป็นการกระทบกัน เป็นการกระทบกันเกิดขึ้นอย่างหนึ่งถึงเป็นสภาวะ สิ่งที่ไม่มีเป็นนิพพานหรือ? มันเป็นสภาวะที่เกิดขึ้น ตั้งอยู่ แล้วดับไป

ถ้ามีการกระทบกระทั่งกันถึงเกิดขึ้น มีขั้วบวก ขั้วลบ ต้องสปาร์คกันถึงเกิดพลังงานขึ้น แล้วตัวนั้นหรือจะเป็นนิพพาน? มันไม่ใช่นิพพาน เห็นไหม เป็นสภาวธรรม แต่ในการประพฤติปฏิบัตินะ ในการประพฤติปฏิบัติต้องอาศัยตัวนี้ไง เพราะเป็นปัจจุบันเพื่อเข้าไปหาถึงใจไง ต้องอาศัยตัวนี้นะ มันเกิดขึ้น ตั้งอยู่ แล้วดับไป มันเป็นปัจจุบันธรรม เห็นไหม ขันธ์เกิดขึ้น ขันธ์ ๕ ตัวขันธ์ ๕ มันจะเกิดขึ้น เพราะใจมันเกาะเกี่ยว ต้องดูเป็นไตรลักษณ์ไง ให้เห็นสภาวะความเป็นจริง

ไตรลักษณ์นี่สำคัญมาก นิพพานไม่ใช่อัตตา และไม่ใช่อนัตตา แต่อนัตตานี้เป็นเครื่องดำเนินที่ถูกต้องนะ อนัตตานี้สำคัญมากเลย สำคัญมาก แต่ถึงจุดหนึ่งแล้วมันก็ไม่ใช่อนัตตา ไม่ใช่อัตตาและไม่ใช่อนัตตา แต่อนัตตานี้เป็นสภาวะไง อัตตานี้คงที่อยู่แล้ว แต่อนัตตานี้เป็นสภาวะที่พัฒนาตัวขึ้นเอง

อย่างเช่นข้าวดิบ เราต้มแล้วมันก็สุกขึ้นมา สุกแล้วเราจะทำอย่างไรให้มันเป็นของขึ้นไป มันไม่คงที่ เห็นไหม เป็นสภาวะของอนัตตา เพราะมีความเป็นอนัตตามันถึงเปลี่ยนแปลงสภาวะได้ พระพุทธเจ้าสอนถึงการเปลี่ยนแปลงจากปุถุชนเป็นอริยบุคคล ขึ้นไปเรื่อยๆ ขึ้นไปเรื่อยๆ นี่ไงขันธ์ ๕ ถึงเป็นภาวะธรรม

เขาบอกไม่มีตัวตน มี มีเพราะมีเราไง ฉะนั้น พระอรหันต์ที่ยังมีชีวิตอยู่ถึงว่าสอุปาทิเสสนิพพาน เหลือเศษส่วน เห็นไหม เหลือขันธ์ ๕ กับใจนี้พร้อมกัน แต่ไม่มีกิเลส เป็นสภาวะ แต่ถ้าเป็นปุถุชนนี่เป็นขันธมาร เพราะว่าขันธมารมันถึงจะมีเรา มีเขา เพราะมีเรา มีเขา มีแต่ความยึดมั่นถือมั่น มันถึงว่าเป็นเราไง เพราะขันธ์นี้เป็นสภาวธรรม อภิธรรมเขาว่าอย่างนั้นนะ เขาบอกว่าขันธ์ ๕ นี้เป็นสภาวะ ไม่มีตัวตน จับต้องอะไรไม่ได้ ไม่ควรยึด ไม่ควร

อันนั้นมันเป็นพระอรหันต์แล้ว เห็นไหม เป็นพระอรหันต์แล้วถึงว่าสภาวะต้องเป็นสภาวะสิ ทีนี้มันชักเข้ามาตรงนี้ ตรงที่แบบว่าอายตนะนิพพานถึงเป็นไปไม่ได้ ถึงว่าความไม่รู้ตามความเป็นจริง พอความไม่รู้ตามความเป็นจริง ก็ต้องมาเกาะเกี่ยวสิ่งที่ว่าจินตนาการได้ มาเกาะเกี่ยวสิ่งที่จินตนาการได้ถึงจะบอกว่าต้องให้เป็นรูปแบบไง ถึงว่าเอาระบบนี้เข้ามา เข้าระบบไง

คือว่ามีคุกอยู่แล้วโดยธรรมชาติ คือขันธ์ คืออายตนะมันเป็นคุกอยู่แล้ว เพราะมันติดข้องโดยธรรมชาติไง แต่เพราะความไม่รู้เท่า ความเป็นจริง อ่านธรรมะไง ถึงจินตนาการเป็นระบบขึ้นมาซ้อนเข้าไปอีกไง สมุทัยซ้อนสมุทัย ถึงบอกว่าอันนี้เป็นอายตนะนิพพานไง องค์ของนิพพาน จะทำให้ถึงเห็นนิพพานไง เห็นไหม มันถึงว่าเป็นการตั้งอีกจุดหนึ่งขึ้นมา ที่ว่าเป็นลัทธิหนึ่งขึ้นมาในศาสนาไง ไปตั้งลัทธิหนึ่ง คือว่าเป้าหมายต่างไปจากหลักคำสอนของพระพุทธเจ้าเลย

แล้วพระเป็นอย่างนั้น รูปแบบ สร้างรูปแบบกันมาเป็นอย่างนั้น แล้วมันทำไมไม่เป็นอย่างนี้ล่ะ? มันถึงว่ามาเป็นที่เป็นอยู่ มันถึงว่าดึงพระให้ต่ำลงมาไง ต่ำลงมาให้อยู่ตรงนี้ ทำไมไม่ปล่อยไปตามความเป็นจริงล่ะ? ปล่อยตามความเป็นจริงของใจแต่ละดวงที่ต้องเป็นไปตามความเป็นจริงสิ ไม่ใช่ว่าสร้างรูปแบบขึ้นมา เห็นไหม คือว่าเป็นนิพพานจัดตั้งไง เป็นนิพพานสำเร็จรูปไง นิพพานอัดกระป๋อง แล้วมันจะเป็นไปอย่างนั้นได้อย่างไร? เป็นนิพพานอัดกระป๋องแล้วก็เอามาให้กันเลย มันเป็นไปไม่ได้

สภาวะตามความเป็นจริงนี้ สิ่งที่เป็นสภาวะอยู่นี้เป็นสภาวะตามความเป็นจริง เป็นอภิธรรม แต่เพราะมีกิเลส มีความยึดมั่นถือมั่น อันนี้มันถึงว่าสภาวะนั้นก็เป็นเรา เราไปยึดสภาวะนั้นเป็นเรา เราถึงว่าต้องสร้างสมมุติขึ้นไป เห็นไหม อย่างเช่นภาวนา สร้างสมาธิขึ้นมา เพราะสมาธิก็เป็นเรา เราควบคุมเราได้ไงเป็นสมาธิ ถึงเอาสมาธิเชื่อมกับปัญญา เชื่อมกับงานที่ชอบ เป็นมัคคะอริยสัจจัง

นี่พระพุทธเจ้าสอนตรงนี้ เน้นตรงนี้มากเลย เน้นเรื่องปัญญาๆ แต่เขาก็ว่าของเขาเป็นปัญญานะ ก็ปัญญาอบรมสมาธิไง ปัญญารูปแบบ ปัญญาจัดตั้ง ปัญญาอัดกระป๋อง ปัญญาอัดกระป๋องแล้วบังคับด้วยว่าต้องให้เป็นแบบนี้นะ บังคับจนแบบว่ากลายเป็นการเคร่งเครียดไง คนต่อต้าน คือการเคร่งเครียดว่ามันเป็นไปไม่ได้ที่ให้คนทั้งโลกคิดแบบเดียวกัน เห็นไหม

ปัญญาอัดกระป๋อง ให้คนทั้งโลก ให้ลูกศิษย์ทั้งหมดต้องเป็นอย่างนี้อย่างเดียว อย่างอื่นเป็นไปไม่ได้ แต่พระพุทธเจ้าสอนตามจริต ตามนิสัย ตามกรรม ตามอำนาจวาสนาไง ถึงบอกว่าพระพุทธเจ้าฉลาดมาก แล้วมีอนาคตังสญาณไง รู้ว่าคนๆ นี้เคยทำอะไรมา ต้องเอาสิ่งนั้นเข้าไปแก้ไง เวลาเขาอ้างเขาก็อ้างเหมือนกัน อ้างจุลปันถก อ้างแต่กรรมอย่างนั้นนะ

ไอ้นี่พอเราอ้างอย่างนี้ปั๊บ เหมือนกับประเพณีวัฒนธรรม แต่ละภาคไม่เหมือนกัน อย่างทางใต้ก็อย่างหนึ่ง ประเพณีเลี้ยงเปรต อีสานก็อย่างหนึ่ง เหนือก็อย่างหนึ่ง เพราะอะไร? นี่เพราะว่าครูบาอาจารย์ที่เป็นต้นการสะสมมา การตกผลึกของวัฒนธรรมไง ครูบาอาจารย์เขาเห็นสภาพแบบนั้น ก็เอาสิ่งนี้เป็นตัวชักนำไง

อย่างเช่นจุลปันถกก็เป็นอย่างหนึ่งใช่ไหม? พระสารีบุตรก็ปัญญาอย่างหนึ่ง ความเห็นถนัดของแต่ละบุคคลนี่สะสมมาๆ กลายเป็นความตกผลึกของประเพณีวัฒนธรรมแต่ละท้องที่ บุญเลี้ยงเปรตในพรรษา ทางอีสานข้าวประดับดิน ทางเหนือก็ไปอย่างหนึ่ง ทางใต้ก็ไปอย่างหนึ่ง เดือนสิบ เห็นไหม นี่ไม่เหมือนกัน เลี้ยงหมากๆ ของเขา อันนี้ถึงบอกว่าจะชักเข้ามาตรงนี้ไง ตรงที่ว่าจริตนิสัยไม่เหมือนกัน การเข้าหาธรรมไม่เหมือนกัน ถนนมีหลายเส้น มีหลายรูปแบบ กรรมฐานมี ๔๐ ห้อง

ปัญญาเป็นปัจจุบันนะ เป็นภาวนามยปัญญา เกิดขึ้นจากปัจจุบัน แต่ต้องเกิดขึ้นจากการที่เราหนุนขึ้นไปจากที่ว่าเป็นเรานี่แหละ เพราะอภิธรรมปฏิเสธความเป็นเราแต่แรกไง ปฏิเสธความเป็นเราแต่แรก เหมือนกับเราชักว่าว เราเล่นว่าว ว่าวขึ้นไปบนอากาศ มันต้องมีสายชักขึ้นไปว่าวถึงขึ้นได้ เราไม่มีสายชักว่าวเลย เราจับว่าวมาโดยไม่มีสายนะ เราจะให้ว่าวขึ้นไปกลางอากาศได้อย่างไร?

นี่ก็เหมือนกัน ถ้าสภาวะนี้ไม่ใช่เรา อะไรก็ไม่ใช่เราเลย เราก็ก้าวเดินไม่ได้ เราต้องก้าวเดิน เราต้องมีสายป่าน สายป่านบังคับนี้ บังคับทิศทางให้ว่าวขึ้นไปสู่กลางอากาศ พอว่าวขึ้นไปติดลมบนแล้ว ถ้าเราตัดเชือกว่าวจะไปตามสภาวะของมันเลย แล้วจะตกที่ไหนก็ได้ เพราะมันไม่มีสายป่าน สายป่านนี้คือเรา ถ้าคือเรา นี้มันก็เป็นเรา เป็นเราเป็นโลกียะ เห็นไหม แต่ก็ต้องอาศัยสายป่านนี้ขึ้นไปก่อน ชักให้ว่าวนี้ขึ้นไปกินลมบนก่อน ทีนี้ถ้าปฏิเสธความไม่มีเราตั้งแต่ทีแรก มันก็เหมือนกับว่าวนี้ไม่มีสายป่าน แล้วจะขึ้นอย่างไร?

การปฏิบัตินั้นถึงไม่มีเริ่มต้นนับหนึ่ง ไม่มีเหตุผล อยู่กันแบบไปวันๆ หนึ่งไง อันนั้นอภิธรรม แต่สภาวะอัดกระป๋องมา บังคับมาให้เป็นจริงเลยก็เหมือนกัน บังคับให้เห็นเลย โดยที่ว่ายังไม่รู้เท่าความเป็นจริงไง คือว่าบังคับให้เห็นภาพที่ไม่เคยเห็น บังคับให้รู้สิ่งที่โลกนี้ไม่มี นิพพานเป็นเรื่องพ้นจากสามโลกธาตุไง วัฏวนนี้พ้นจากสามโลกธาตุนี้ไป แล้วบังคับให้เป็นองค์นิพพานมันก็เห็นแค่แสง เห็นแค่ความสว่างไสวของนิมิตเท่านั้นเอง แต่ก็บังคับมา มันก็เลยเป็นไปไม่ได้ตามความเป็นจริง เป็นลัทธิๆ หนึ่งต่างหากออกไปเลยแหละ